ไทเกอร์ วุฒิวัย หรือ น้องเต๋า เล่าว่า ก่อนประสบอุบัติเหตุผมก็ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป มีไปเที่ยว ไปออกกำลังกาย เล่นฟุตบอล/วิ่งเล่น และทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ผมเองก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2558 ตอนนั้นผมอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น ซึ่งตอนนั้นผมเองเพิ่งสอบติดที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยมีกำหนดการจะต้องไปรายงานตัว ในวันพรุ่งนี้เช้า ผมได้ขับรถจักรยานยนต์ ไปหาเพื่อนเพื่อที่จะไปปรึกษากันว่า “พรุ่งนี้เราจะไปมอบตัวที่วิทยาลัยกี่โมงกันดี แล้วจะไปกันยังไง?”
นั่งคุยกันกับเพื่อนอยู่พักหนึ่ง ก็จะแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ก่อนกลับ ผมกับเพื่อนชวนกันไปซื้อของกินที่ เซเว่น กันก่อน และระหว่างที่กำลังขับรถจนจะไปถึง เซเว่น ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้าชนผมอย่างจัง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไวมาก เหมือนภาพตัด เหมือนผมเห็นไฟหน้ารถเขาอยู่ไกลๆ แต่แค่แว๊บเดียว รถคันนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ตอนนั้น ผมตกใจเลยหักหลบ แต่ไม่พ้น โดนชนที่ด้านขวา พอถูกชนปุ๊ป ผมพยายามตั้งสติและพยายามลุกขึ้นยืน (ด้วยความที่คิดว่าไม่เป็นอะไรมาก) แต่คนแถวนั้นที่วิ่งออกมาช่วย บอกผมว่า “อย่าขยับ ให้นอนลงไป” ผมถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับผม?”
ตอนแรกเขาก็ไม่บอก ด้วยความที่ผมอยากรู้ เลยพูดไปว่า “บอกผมเถอะครับ ผมทำใจได้” เขาเลยบอกว่า “ขานั้นขาดไปแล้ว” ตอนนั้น ผมได้แต่อึ้ง! ทำอะไรไม่ถูก พอเริ่มตั้งสติได้ ก็โทรบอกแม่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ผมถูกส่งไปโรงพยาบาลปทุมธานี และเข้ารับการผ่าตัดทันที ผมเริ่มคิดว่า “หลังจากนี้ไป ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” จากเหตุการณ์ดังกล่าว ผมได้มาทราบทีหลังว่าคู่กรณี ที่ขับรถพุ่งชนผมนั้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงเกินกว่าค่ากำหนด หรือ เมาแล้วขับนั้นเอง
หลังการผ่าตัดเสร็จ ผมตื่นมาพบความจริงที่ว่า ตัวเองไม่มีขาแล้วจริงๆ ตอนนั้น ผมเสียใจมากกับภาพที่เห็นและร้องไห้หนักมาก จนหมดสติไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ ครอบครัวญาติพี่น้องและเพื่อนๆ อยู่รอบเตียงผมเต็มไปหมด ทุกคนต่างส่งรอยยิ้มปลอบใจและคำพูดให้กำลังใจ ทำให้ผมเริ่มพูดคุยและพยายามทำใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งระหว่างการพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คนในครอบครัวและญาติพี่น้อง ตลอดจน เพื่อนๆ ได้แวะเวียนกันมาให้กำลังใจผมอยู่เรื่อยๆ จนคุณหมอคุณพยาบาลแซวว่า ให้เปิดห้องพิเศษไว้ต้อนรับ เพราะญาติๆมาเยี่ยมเยียนเยอะมาก
ผมเริ่มทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและตั้งใจทำกายภาพบำบัด เพื่อให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ผมได้ออกจากโรงพยาบาล พร้อมขาข้างใหม่ เป็น “ขาเทียม คู่ใจ” ก็พบว่า การใช้ชีวิตของผม ดูช้าลงไปหมด ทำอะไรก็ไม่คล่องแคล่วว่องไว เหมือนแต่ก่อน ผมได้ตระหนักว่า ตัวผมจะทำอะไรให้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่ได้อีกแล้ว หลายๆ อย่างต้องปรับตัว จะทำอะไร จะไปไหน ต้องวางแผน/เตรียมตัว มากกว่าคนอื่น
ในช่วงแรก ๆ ก็รู้สึกท้ออยู่บ้าง ก็ได้ครอบครัวญาติและเพื่อนๆ คอย Support อยู่ข้างๆ ผมตลอด ทำให้ผมมีกำลังใจ และออกมาใช้ชีวิตได้ปกติ อยู่ทุกวันนี้ ผมเพียงแค่ว่า “ทุกการสู้ชีวิต สิ่งที่ดีที่สุด คือ กำลังใจจากตัวเราเอง…ถ้าใจเราไม่สู้ ต่อให้คนรอบข้าง ดีกับเราแค่ไหน เราก็ถอดใจอยู่ดี”
ปัจจุบันน้องเต๋า อายุ 24 ปี ประกอบอาชีพค้าขายทั้งแบบ Online และ ตามตลาดนัด/รับจัดงานนอกสถานที่ นอกจากนี้ ยังเป็นแกนนำเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำเมา ร่วมออกบูธรณรงค์น้ำดื่มทางเลือก กับ เครือข่ายองค์กรงดเหล้ากรุงเทพมหานคร
บทความโดย : อารีย์ เหมะธุลิน ผู้ประสานงานเครือข่ายงดเหล้าภาคกลาง กรุงเทพมาหานคร และปริมณฑล