ข้อมูลใหม่พบสุนทรภู่ไม่ได้ขี้เมาอย่างที่คิด หักล้างความเชื่อเดิมๆ มลายสิ้น

หากใครที่เคยอ่านบทกวีของสุนทรภู่  หนึ่งในยอดนักประพันธ์กลอนระดับตำนานของสยามประเทศในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์  ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “กวีเอกของโลก” แล้ว  นอกจากความเพลิดเพลินเจริญหูเจริญตาไปกับความเพราะพริ้งของบทกลอนที่มีสัมผัสนอกสัมผัสในอันแพรวพราวราวเกล็ดแก้วแล้ว  ยังน่าจะได้เคยพบเนื้อหาที่เกี่ยวกับเรื่องความเจ้าชู้เสเพล  และเรื่องเหล้าๆ เบียร์ๆ อยู่ในบทกวีของสุนทรภู่อยู่แบบเนืองๆ  กระทั่งอาจทำให้ใครหลายคนอดคิดมิได้ว่า  ตัวตนที่แท้จริงของสุนทรภู่นี้ต้องเป็นเพลย์บอยที่เจ้าชู้  ขี้หลี  แถมยังเป็นนักดื่มตัวยงด้วยแน่แท้เชียว

ทว่าจากข้อมูลการวิเคระห์เจาะลึกของอาจารย์สุจิตต์  วงษ์เทศ  นักประวัติศาสตร์และโบราณคดีผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงประวัติศาสตร์ประเทศไทยมาช้านาน  พบว่าแท้ที่จริงแล้ว  สุนทรภู่นั้นไม่ได้เจ้าชู้  ขี้หลี  และขี้เมาอย่างที่เราๆ ท่านๆ เข้าใจมาโดยตลอดแต่อย่างใด  โดย อ.สุจิตต์ยกข้อมูลที่ว่าสุนทรภู่นั้นเป็นข้าราชการฝ่ายใน  เป็นที่นับหน้าถือตา  เกิดในวังหลัง  เป็นผู้ดีมีตระกูล  ซ้ำยังเป็นคนทันโลก  มีความเป็นเสรีชนอีกด้วย  จึงนับเป็นผู้ที่มีการวางตัวที่ดีมากในยุคนั้นเลยทีเดียว

อ.สุจืตต์กล่าวว่า  ข้อหาเรื่องเจ้าชู้ที่ใช้กับผู้คนในสมัยก่อนนั้นอาจฟังดูเกินจริงไปหน่อย  ด้วยค่านิยมการมีเมียหลายคน  แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ละเลยคนเดิมๆ ยังดูแลเป็นอย่างดี  ส่วนในกรณีของสุนทรภู่นั้น  นิยามคำว่า “เจ้าชู้” ที่ใครหลายคนมอบให้  น่าจะมองถึงช่วงวัยรุ่นของสุนทรภู่มากกว่า  ที่อาจจะมองๆ ผู้หญิงไว้หลายคน  ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากสังคมยุคปัจจุบันที่วัยรุ่นซึ่งยังไม่ได้ลงหลักปักฐานกับใคร  ก็อาจจะยังมีเวลาในการเลือกคบเพื่อดูให้แน่ใจว่าใครกันหนอที่จะมาเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริงของเรา  ดังนั้นข้อหาที่ว่าเจ้าชู้นั้นอาจจะเกินจริงไปสักหน่อย

ส่วนการที่สุนทรภู่ถูกกล่าวหาว่าขี้หลีนั้น  ก็อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าสุนทรภู่เป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตาอยู่มาก  วันๆ จึงมีแต่ผู้หญิงเข้าหา  มกกว่าการวิ่งเข้าไปหาผู้หญิง  ดังนั้นข้อหาเรื่องขี้หลีจึงใช้ไม่ได้  เพราะขี้หลีนั้นคือต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเขาแบบไม่เลือกหน้า

และข้อสุดท้าย  อันนี้สำคัญสุดเพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องของเราโดยตรง  นั่นคือ  การถูกตราหน้าว่าเป็นคน “ขี้เมา” ของสุนทรภู่นั่นปะไรกัน  สำหรับข้อนี้ อ.สุจิตต์  ได้ให้ข้อมูลแบบชัดๆ ชัวร์ๆ เพื่อแก้ข้อกล่าวหานี้ว่า  แต่เดิมสมัยวัยรุ่นสุนทรภู่อาจจะเคยร่ำสุราจริง  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นมาทุกยุคสมัย  แต่เมื่อสุนทรภู่ได้บวชเรียนแล้ว  ก็รับรู้และเข้าใจถึงข้อเสียของเหล้าเบียร์  รวมถึงได้มองเห็นตัวตนในอดีตของท่านเองในยามที่เมามาย  ทำให้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่นั้นว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเหล้าเบียร์อีก  ดังที่ปรากฎในส่วนหนึ่งของนิราศภูเขาทองว่า

ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง              มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา

โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา           ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นหน้าอาย

ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ               สรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย

ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย                     ไม่ใกล้กรายแกล้งเมินก็เกินไป

ซึ่งบทกวีดังกล่าวอ้างถึงในช่วงที่สุนทรภู่ได้อุปสมบท  และล่องเรือผ่านโรงเหล้าบางยี่ขัน  ระหว่างเดินทางไปยังภูเขาทองที่อยุธยา  และระลึกได้ถึงความไม่ดีของเหล้า “น้ำนรก” ที่ทำให้ท่านเคยเมามายเหมือนคนบ้า  จึงกรวดน้ำคว่ำขันสัญญาว่าจากนี้จะไม่ดื่มเหล้าอีกต่อไปนั่นเอง  ดังนั้น  ความเป็นคนขี้เมาของสุนทรภู่  จึงขาดลงนับแต่บัดนั้น  แถมกลอนบทนี้ยังช่วยสอนใจคนรุ่นต่อๆ มาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

Story by สนสามใบ

ขอบคุณภาพสวยๆ จาก wikipedia.org, Google และ aromklon.com นะคร๊าบ