
ยกหมฺรับ งานบุญสารทเดือนสิบ เมืองคอน

เรียเรียงโดย ศุภกิตติ์ คุณา
ภาพ ชัยยันต์ ดำแก้ว
ประเพณีสารทเดือนสิบของชาวภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ถือเป็นประเพณีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คนนครศรีธรรมราช หรือคนในพื้นที่มักจะเรียกกันว่า คนเมืองคอน จะกลับบ้านมาแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษและการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับผู้ล่วงลับ หรือเรามักจะได้ยินกันว่า “ประเพณีเดือนสิบ ได้เวลาคนคอนหลบบ้าน” หมายความว่า เมื่อถึงประเพณีเดือนสิบ คนนครศรีธรรมราชจะกลับบ้าน สำคัญไม่ต่างกับเทศกาลหยุดยาวอื่นๆ อย่างช่วงสงกรานต์เลยก็ว่าได้
บุญสารทเดือนสิบนั้นไม่เพียงจะสะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่แน่นแฟ้นของคนคอน แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านคุณค่าและภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น กิจกรรมสำคัญที่โดดเด่นในประเพณีนี้ ได้แก่ การจัด “หมฺรับ” และการ “ชิงเปรต” ซึ่งเป็นพิธีกรรม และสัญลักษณ์ในช่วงสารทเดือนสิบ
ข้อมูลจาก พัชรีย์ ทองศรีเกตุ ในนิตยสาร สารนครศรีธรรมราช ระบุไว้ว่าประเพณีสารทเดือนสิบของชาวเมืองนครศรีธรรมราชเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมท้องถิ่นกับศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา การประกอบพิธีกรรมนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งเปรตในเปรตภูมิ

“หมฺรับ” คืออะไร
หมฺรับ หรือ หมฺรับ เป็นชื่อเรียกชุดภาชนะหรือสำรับอาหารที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อใช้ในงานบุญเดือนสิบ เป็นชุดอาหารคาวหวาน เช่น ข้าวแกง ผลไม้ ขนม และอาหารตามประเพณีต่าง ๆ ที่จัดเตรียมอย่างสวยงาม เพื่อถวายพระสงฆ์และใช้สำหรับแผ่ส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยายและวิญญาณที่ล่วงลับ ชุดหมรบเหล่านี้จะถูกนำไปถวายภัตตาหารเพลพระ และหลังจากนั้นจะนำหมฺรับไปตั้งไว้ที่วัดหรือศาลาที่จัดไว้ เพื่อเป็นการ “ตั้งเปรต” หรือแผ่ส่วนกุศลให้แก่เปรต คำนี้ตรงกับภาษากลางว่า “สำรับ” ซึ่งแปลว่า ภาชนะที่ใส่กับข้าวคาวหวาน (อันเป็นความหมายที่แคบกว่าคำ “หมฺรับ” ของภาษาปักษ์ใต้ “หมรบ” เป็นภาษาเขียน และ “หฺมฺรับ” เป็นภาษาอ่าน ซึ่งอ่านว่า “หมับ”
สำรับอาหารที่จัดเตรียมขึ้นเพื่อใช้ในงานบุญเดือนสิบ จะจัดเตรียมตั้งแต่วันจ่ายจนถึงวันยกหมฺรับ โดยวันจ่าย จะเป็นวันแรกของการเตรียมการ ซึ่งตรงกับวันแรม 13 ค่ำ เดือนสิบ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเตรียมความพร้อมสำหรับงานสารทเดือนสิบ ในวันนี้ชาวบ้านจะออกไปซื้อวัตถุดิบและเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อนำมาจัดเป็น “หมฺรับ” หรือสำรับสำหรับการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ บรรยากาศในตลาดสดของนครศรีธรรมราชในวันนี้จะคึกคักเป็นพิเศษ กลิ่นหอมของขนมเดือนสิบที่เพิ่งทำใหม่จะลอยฟุ้งไปทั่วทุกซอกมุม ทั้งขนมพอง ขนมลา ขนมกง ขนมดีซำ และขนมบ้า ร้านค้าต่างๆ จะตั้งแผงขายเครื่องปรุงอาหาร ผักผลไม้ และของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นสำหรับการจัดหมฺรับ

วันรับตายาย
ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ชาวเมืองนครศรีธรรมราชเชื่อว่าในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ พญายมจะอนุญาตให้เปรตจากเปรตภูมิ (เมืองนรก) มาเยือนโลกมนุษย์ เพื่อมาเยี่ยมลูกหลานและขอรับส่วนบุญจากญาติพี่น้อง วันนี้เรียกว่า “วันรับตายาย” หรือ “วันรับเปรต” หลังจากนั้น ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ บรรพชนและเปรตเหล่านี้จะเดินทางกลับสู่เมืองนรก ซึ่งเรียกกันว่า “วันส่งตายาย” หรือ “วันส่งเปรต”
สำหรับบุญสารทเดือนสิบ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1-15 ค่ำ เดือนสิบ จะมีการจัดแบ่งเป็นวันสำคัญหลายวัน ซึ่งแต่ละวันมีความหมายและพิธีกรรมที่แตกต่างกัน วันรับเปรต (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10) หรือ วันรับตายาย เป็นวันที่ครอบครัวจะเตรียมตัวต้อนรับบรรพบุรุษที่กลับมาเยือน ลูกหลานจะนำอาหารคาวหวานไปถวายพระที่วัด บางพื้นที่เรียกวันนี้ว่า “วันหมฺรับเล็ก” วันจ่าย (วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10) เป็นวันที่ชาวบ้านจะรีบเร่งเตรียมของเครื่องใช้และวัตถุดิบต่างๆ เพื่อจัด “หมฺรับ” หรือสำรับอาหาร ตลาดในวันนี้จะคึกคักมาก เพราะทุกคนต้องไปซื้อของมาเตรียม

วันยกหมฺรับ
วันยกหมฺรับ จะตรงกับวันแรม 14 ค่ำ เดือนสิบ เป็นวันที่คนในครอบครัวจะร่วมมือกันจัดเตรียมหมฺรับที่จะนำไปถวายพระและอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษในวันถัดไป การยกหมฺรับเป็นกิจกรรมที่แสดงถึงความสามัคคีในครอบครัว โดยทุกคนจะมีส่วนร่วมในการเตรียมและจัดเรียงสิ่งของต่างๆ ลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ขั้นตอนของการจัดเตรียมนี้ยังเสมือนเป็นการเตรียมจิตใจและการปลูกฝังค่านิยมเรื่องความกตัญญูกตเวทิตาแก่คนรุ่นหลังในครอบครัว ผู้ใหญ่ก็มักจะใช้โอกาสนี้ในการเล่าเรื่องราวของบรรพบุรุษและอธิบายความหมายของสิ่งของแต่ละอย่างที่ใส่ลงในหมฺรับ
ในการจัดรูปแบบของการจัดหมฺรับนั้น ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวแน่นอน แต่จะมีลำดับและองค์ประกอบหลักที่คล้ายคลึงกันในแต่ละครอบครัว โดยจะเริ่มต้นจากการเลือกภาชนะที่เหมาะสม ได้แก่ กระบุง กระจาด ถาด หรือกะละมัง ซึ่งจะถูกรองก้นด้วยข้าวสารเป็นฐานรองรับสิ่งของอื่นๆ ซึ่งข้าวสารในที่นี้ มีความหมายเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และเป็นอาหารพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ การวางข้าวสารเป็นฐานรองรับ แสดงถึงการให้สิ่งที่ดีที่สุดและจำเป็นที่สุดแก่บรรพบุรุษ นอกจากข้าวสารแล้ว จะวางเครื่องปรุงอาหารต่างๆ ทั้งกระเทียม พริก เกลือ และน้ำตาล โดยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในการประกอบอาหาร แสดงถึงการเตรียมเครื่องใช้ที่จำเป็นให้แก่ผู้ล่วงลับ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ในภพหน้า อีกทั้งยังมีอาหารแห้ง จำพวกปลาเค็มจะถูกใส่ลงไปด้วย เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนที่เก็บได้นานและเป็นอาหารที่คุ้นเคยของคนไทย และผักผลไม้ที่เก็บได้นาน เช่น ฟักทอง มะพร้าว และขมิ้น จะถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อให้มีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น นอกจากจำพวกอาหารแล้ว ยังมีของใช้ในชีวิตประจำวันที่สำคัญ เช่น น้ำมันมะพร้าว ไม้ขีด เข็ม และด้าย สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความห่วงใยและการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ล่วงลับในทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การปรุงอาหาร การให้แสงสว่าง ไปจนถึงการเย็บปะเสื้อผ้า

ขนม 5 อย่าง
ความสำคัญของขนมเดือนสิบ
สิ่งที่ถือว่าสำคัญที่สุดและเป็นหัวใจของการจัดหมฺรับ คือ ขนม 5 อย่าง หรือที่เรียกว่า “ขนมเดือนสิบ” ขนมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่อาหารธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายเกี่ยวกับการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ ซึ่งการเลือกขนมเหล่านี้มาใช้ในพิธีกรรมมีเหตุผลทั้งในแง่ของความเชื่อทางจิตวิญญาณและความเหมาะสมทางกายภาพ โดยขนม 5 อย่างนั้น ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมไข่ปลาหรือขนมกง ขนมดีซำหรือหรือขนมเจาะหู และขนมบ้านหรือขนมสะบ้า

ขนมพอง มีลักษณะกลมกลวง คล้ายกับเรือหรือแพขนาดเล็ก เป็นขนมที่ทำมาจากข้าวเหนียวนำไปนึ่งจนสุก แล้วอัดลงในพิมพ์ตามรูปร่างที่ต้องการมีลักษณะคล้ายกับข้าวแต๋นในภาคเหนือ ในความเชื่อของชาวใต้ ขนมพองเป็นสัญลักษณ์แทนแพ ที่จะให้ผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ หรือมหาสมุดรที่แยกระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของคนตาย ความเชื่อเรื่องการข้ามน้ำเพื่อไปสู่โลกหน้านี้สอดคล้องกับความเชื่อในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ที่มองว่าการตายเป็นการเดินทางข้ามจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง ขนมพองจึงเป็นการเตรียมพาหนะให้แก่วิญญาณของบรรพบุรุษในการเดินทางที่สำคัญนี้

ขนมลา ลักษณะเป็นแผ่นบางเส้นใยสีเหลืองทอง คล้ายกับผ้าที่ใช้ห่มหุ้มตัวจงเป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องนุ่งห่มสำหรับผู้ล่วงลับ การให้เครื่องนุ่งห่มแสดงถึงความเอาใจใส่และความต้องการให้ผู้ล่วงลับมีเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมในโลกหน้า ในวัฒนธรรมไทย การแต่งกายมีความสำคัญไม่เพียงในเรื่องของความสวยงาม แต่ยังเป็นเรื่องของเกียรติและศักดิ์ศรี การเตรียมเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ล่วงลับจึงเป็นการแสดงความเคารพและการรักษาศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษแม้ในโลกหน้า ขนมลาแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก คือ ลาเช็ดและลากรอบ ลาเช็ดมีลักษณะเฉพาะคือใช้น้ำมันในปริมาณน้อย โรยแป้งให้มีความหนา และเมื่อสุกแล้วจะพับเป็นรูปครึ่งวงกลมหรือสี่เหลี่ยม ทำให้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับแห ส่วนลากรอบนั้นเป็นการพัฒนาต่อยอดจากลาเช็ด โดยนำลาเช็ดที่ทำเสร็จแล้วมาโรยด้วยน้ำตาลและนำไปตากแดดให้แห้งกรอบ ในยุคปัจจุบันมีการปรับปรุงสูตรลากรอบแบบใหม่โดยเพิ่มปริมาณแป้งข้าวเจ้าและน้ำมันให้มากขึ้น เมื่อแป้งสุกแล้วจะม้วนเป็นรูปแท่งกลม ปล่อยให้เย็นตัวจนเหมาะสม จากนั้นจึงดึงไม้ที่ใช้เป็นแกนกลางออก การพัฒนานี้สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวของขนมพื้นบ้านที่สามารถรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ในขณะเดียวกันก็ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่

ขนมกง หรือ ขนมไข่ปลา มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ จำนวนมาก คล้ายกับเครื่องประดับที่ประดับประดาตัว ทำจากถั่วเขียวบดละเอียด ผสมกับน้ำตาลมะพร้าว แป้ง และไข่ นำมาปั้นเป็นแท่ง แล้งจึงจับปลายมาชนกันให้เป็นวง ลักษณะของวงแต่ละพื้นที่ก็จะแตกต่างกันไป บางแห่งก็เป็นรูปวงรี ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับสำหรับผู้ล่วงลับ ตามความเชื่อดั้งเดิมการมีเครื่องประดับไม่เพียงแสดงถึงความมั่งคั่ง แต่ยังเป็นสิ่งที่ให้ความคุ้มครองและนำความโชคดีมาสู่ผู้สวมใส่เครื่องประดับ ในบริบทของการทำบุญสารทจึงมีความหมายถึงการเตรียมสิ่งที่จะปกป้องและให้ความมั่นคงแก่วิญญาณของบรรพบุรุษในการเดินทางสู่ภพชาติต่อไป

ขนมดีซำ บางพื้นที่เรียกว่า ขนมเจาะหู หรือขนมเจาะรู มีลักษณะเป็นวงกลมๆ คล้ายโดนัท และมีความคล้ายกับขนมวง ด้วยการที่มีความคล้ายกับเงินเหรียญที่มีรูตรงกลางในสมัยโบราณ ตามความเชื่อจึงใช้เป็นสัญลักษณ์แทนเงินตราที่ผู้ล่วงลับจะใช้ในโลกหน้า ซึ่งความเชื่อเรื่องการใช้เงินในโลกหน้านี้สะท้อนถึงการคิดที่ว่าโลกหน้ามีโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับโลกของคนเป็น การเตรียมเงินให้แก่ผู้ล่วงลับแสดงถึงความกังวลใจของลูกหลานที่ต้องการให้บรรพบุรุษมีสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในโลกหน้า และสามารถซื้อสิ่งที่ต้องการได้เหมือนในโลกนี้

ขนมบ้า หรือขนมสะบ้า มีลักษณะเป็นลูกทรงกลมแบนๆ ทำจากแป้ง มันบดและน้ำตาล นำมาปั้นเป็นก้อนกลม จากนั้นจึงนำไปคลุกงา และกดให้เป็นแผ่นแบน ก่อนจะนำไปทอดจนกรอบ ในความเชื่อนั้นขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนลูกสะบ้า เพื่อเป็นการละเล่นให้แก่ผู้ล่วงลับ แสดงถึงความต้องการให้บรรพบุรุษมีความสุขและความเพลิดเพลินแม้ในโลกหน้า ลูกสะบ้าในวัฒนธรรมไทยเป็นของเล่นที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสำคัญและความสนุกสนาน การให้ลูกสะบ้าจึงเป็นการส่งความปรารถนาดีให้บรรพบุรุษได้มีส่วนร่วมในเทศกาลและกิจกรรมที่สร้างความสุขในโลกหน้า
ขนมเดือนสิบทั้ง 5 อย่างนี้ถูกเลือกมาใช้ในพิธีกรรมบุญสารทเดือนสิบ ไม่เพียงเพราะความเชื่อตามความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติที่สามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน โดยไม่บูดเสียง่าย ทำให้ขนมเหล่านี้เหมาะสำหรับเป็นเสบียงอาหารแก่พระภิกษุสงฆ์ตลอดฤดูฝนในสมัยโบราณ เพราะในฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่การเดินทางมีความยากลำบาก และการหาอาหารสดใหม่ทำได้ยาก ขนมเดือนสิบจึงเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสามารถเก็บรักษาไว้ใช้ได้ยาวนานในสมัยก่อน
ในปัจจุบันการจัดหมฺรับได้มีการปรับเปลี่ยนไปจากแต่เดิม โดยนิยมใช้เพียงขนมเดือนสิบเป็นหลัก ไม่ค่อยปรากฏการใส่สิ่งของอุปโภคบริโภคตามธรรมเนียมเดิมมากนัก ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต ความสะดวกในการหาซื้อสิ่งของ และการปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังคงรักษาไว้ด้วยแก่นแท้ของความเชื่อและความเคารพต่อบรรพบุรุษ และการใช้ขนมเดือนสิบ 5 อย่าง ถือว่าเป็นองค์ประกอบหลัก ที่เป็นการรักษาความเป็นต้นตำรับของประเพณีสารทเดือนสิบ

วันส่งตายาย
ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ จะเป็นสำคัญอีกวันหนึ่ง เรียกกันว่า “วันส่งตายาย” หรือ “วันหลองหมฺรับ” เป็นวันสำคัญสุดในประเพณีสารทเดือนสิบ ชาวบ้านจะนำหมฺรับที่เตรียมไว้ พร้อมด้วยภัตตาหารอื่นๆ ไปยังวัดเพื่อทำบุญและอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ ชาวเมืองคอนจะชวนกันไปวัด โดยเลือกวัดที่อยู่ใกล้บ้านที่สุดหรือวัดที่บรรพบุรุษ การไปวัดในวันนี้เพื่อนำหมฺรับ ที่จัดไว้เรียบร้อยแล้วไปวัด หรือจะนำของไปจัดไว้ก่อนก็ได้ และการจัดหมฺรับจะจัดให้สวยงามหรือตกแต่งอย่างไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของ เมืองนครหรือเมืองอื่นๆ ก็มีการจัด ขบวนแห่ “หมฺรับ” อย่างใหญ่โต ในขบวนก็มีการสอดแทรกการแสดง การแต่งกายท้องถิ่น รวมถึงการสอดแทรกการรณรงค์เกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ และยังมีการประกวดขบวน เพื่อสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมบุญสารทเดือนสิบ

การรณรงค์ ในขบวนแห่หมรับเมืองนครศรีธรรมราช ภาพชัยยันต์ ดำแก้ว
บรรยากาศภายในวัดจะคึกคักและเต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมทำบุญ นอกจากเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษแล้ว ยังเป็นการรวมตัวกันของชุมชน พบปะและการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะคนที่ไปทำงานต่างถิ่นที่ไม่ค่อยได้เจอกัน ในกิจกรรมพิธีสงฆ์และการสวดบังสุกุลในวันส่งตายาย จะมีการทำบุญเลี้ยงพระและการสวดบังสุกุลเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ การสวดบังสุกุลเป็นพิธีกรรมทางพุทธศาสนาที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับการให้ทานและการอุทิศบุญกุศล โดยพระสงฆ์จะสวดบังสุกุลเพื่อเป็นการอุทิศผลบุญที่เกิดจากการทำทานให้แก่ผู้ล่วงลับ ตามความเชื่อว่า ผู้ล่วงลับที่ไปเกิดเป็นเปรตจะได้รับประโยชน์จากการอุทิศบุญนี้ และจะได้รับการบรรเทาทุกข์จากความหิวโหยและกระหาย และมีการตั้งเปรตหลังจากที่เสร็จพิธีสงฆ์แล้ว

ภาพ ชัยยันต์ ดำแก้ว (2023)
การ “ตั้งเปรต” เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญไม่แพ้กับพิธีทางสงฆ์ การตั้งเปรตเป็นการนำขนม 5 อย่าง รวมถึงอาหารอื่นๆ ที่บรรพชนชื่นชอบ ไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ในบริเวณวัด เช่น โคนต้นไม้ กำแพงวัด หรือบน “หลาเปรต” (ศาลาเปรต) โดยการตั้งเปรตนี้มีความหมายในการแผ่ส่วนกุศลไม่เพียงให้แก่ผู้ล่วงลับที่เป็นญาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือไม่มีใครมาทำบุญให้ ด้วย การกระทำนี้แสดงถึงจิตใจที่เมตตาและเห็นอกเห็นใจต่อทุกชีวิต ไม่เลือกปฏิบัติและไม่แบ่งแยกแม้แต่กับวิญญาณที่ไม่รู้จัก
หลาเปรตหรือศาลาเปรตเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญในวัด โดยเฉพาะในภาคใต้ มักจะเป็นศาลาขนาดเล็กที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการตั้งเปรต ศาลานี้มีความสำคัญเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของวิญญาณ

ภาพ ชัยยันต์ ดำแก้ว (2023)
ประเพณีสารทเดือนสิบนั้น เป็นประเพณีที่มีชื่อเสียงของชาวนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะกิจกรรม “หมฺรับ” และ “ชิงเปรต” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทั้งในมิติทางจิตวิญญาณ สังคมและการศึกษา ประเพณีนี้ไม่เพียงสะท้อนความเชื่อและความผูกพันกับบรรพบุรุษ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งผ่านภูมิปัญญา คุณค่า และเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น และมีความคล้ายคลึงกันในประเพณีสิบสองเป็งในภาคเหนือตอนบน ซึ่งมีเรื่องของความเชื่ออุทิศบุญกุศลไปให้บรรพบุรุษเช่นเดียวกันกับบุญสารทเดือนสิบ และจากการวิเคราะห์ความหมายของขนมเดือนสิบแต่ละอย่างนั้น แสดงให้เห็นถึงการคิดเชิงสัญลักษณ์ในวัฒนธรรมไทย ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ที่เน้นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากกว่าการจดจำข้อมูล การเข้าใจถึงเหตุผลในการเลือกใช้สิ่งของแต่ละอย่างในหมฺรับหรือสำรับ สะท้อนถึงภูมิปัญญาในการใช้ชีวิตและการจัดการทรัพยากรของบรรพบุรุษ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- บัญชา พงษ์พานิช. (2566, ตุลาคม 14). ผู้อำนวยการหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพฯ). สัมภาษณ์ใน แก่นแท้ ‘สารทเดือนสิบ’ งานบุญคนใต้ ที่ไม่ได้มีแค่ ‘ชิงเปรต’. The Active, ไทยพีบีเอส.
- จันทรา ทองสมัคร. (ไม่ระบุปี). ประเพณีท้องถิ่นนครศรีธรรมราช. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช. http://www.culture-ns.go.th/www/10month.html
- เทพ เดชสุวรรณ. (2544). ชิงเปรต. วารสารลุ่มน้ำปากพนัง, 3(27), 21-22.
- นามชูป ดอทคอม. (ไม่ระบุปี). การจัดหมฺรับและขนมสำคัญ 5 อย่าง. https://www.naamchoop.com/know_detail.php?know_id=120
- ชัยยันต์ ดำแก้ว. (2566, ตุลาคม). [ภาพถ่าย]. Facebook. https://www.facebook.com/ChaiyunPhotography
- มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์. (ไม่ระบุปี). ประเพณี สารทเดือนสิบ ที่นครศรีธรรมราช. ห้องสมุด มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์. https://library.wu.ac.th/content/สารทเดือนสิบ
- วราภรณ์ สืบ. (2557, สิงหาคม 28). ประเพณีวันสารทเดือนสิบ จังหวัดนครศรีธรรมราช. สนเทศน่ารู้. มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี. https://www.lib.ru.ac.th/journal2/?p=4796
- วิเชียร ณ นคร, สมพุทธ ธุระเจน, ชวน เพชรแก้ว, ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์, และปรีชา นุ่มสุข. (2521). นครศรีธรรมราช. โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์.
- สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. (2565). วัฒนธรรมภาคใต้และประเพณีสารทเดือนสิบ. มหาวิทยาลัยทักษิณ.
- สมร พูนพนัง. (2547). ประเพณีเดือนสืบเมืองนครศรีธรรมราช. วารสารศิลปกรรมและวัฒนธรรม, 15(2), 45-58.
- สำนักงานเทศบาลตำบลบางมะดัว. (ไม่ระบุปี). ประเพณีสารทเดือนสิบ(ส่งตา-ยาย). http://www.bangmadua.go.th/news/detail/102713
- The Active, ไทยพีบีเอส. (2566, ตุลาคม 14). แก่นแท้ ‘สารทเดือนสิบ’ งานบุญคนใต้ ที่ไม่ได้มีแค่ ‘ชิงเปรต’. https://theactive.thaipbs.or.th/read/ten-month-tradition