
บุญสารทเดือนสิบ ของคนเมืองคอน

เรียบเรียง : ศุภกิตติ์ คุณา
ในหนึ่งปีของคนทำงานหรือไปอาศัยอยู่ต่างถิ่น ก็จะมีช่วงเวลาที่สำคัญใหญ่ๆนอกจากการทำงานแล้วคือการได้กลับภูมิลำเนาหรือกลับบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตรงกับวันหยุดยาวในวันเทศกาลสำคัญต่างๆ แต่สำหรับคนนครศรีธรรมราชนั้น เมื่อสายลมเดือนสิบพัดผ่านมาเยือน เป็นช่วงเวลาที่คนเมืองคอน หลบบ้าน ซึ่งหมายถึง “กลับบ้าน” ในภาษาใต้นี้ ไม่ใช่แค่การเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนา แต่เป็นการเดินทางกลับสู่ความทรงจำ ความรัก และความกตัญญูกตเวทีในงานบุญสารทเดือนสิบ
ประเพณีสารทเดือนสิบ หรือที่คนนครศรีธรรมราชเรียกว่า “บุญเดือนสิบ เมืองคอน” เป็นมากกว่าประเพณี มันคือวิถีชีวิต คือความเชื่อ และคือสายใยที่เชื่อมโยงคนในครอบครัวให้อยู่ด้วยกันแม้ว่าจะห่างไกลกันแค่ไหน หรือแม้ว่าบางคนจะจากไปแล้วก็ตาม เมื่อถึงเดือนสิบของปฏิทินจันทรคติ ซึ่งตรงกับช่วงเดือนกันยายน คนใต้เชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่วิญญาณของบรรพบุรุษจะได้รับการปล่อยตัวจากพญายมให้กลับมาเยี่ยมเยียนลูกหลาน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ จนถึงวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่จึงต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลเพื่อแสดงความกตัญญูและช่วยบรรเทาทุกข์ของญาติผู้ล่วงลับ
ประเพณีสารทเดือนสิบ
เรื่องราวของงานเทศกาลประเพณีเดือนสิบที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้น มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ประเพณีโบราณที่สืบทอดกันมา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมกับการจัดการของรัฐบาลในสมัยก่อน ตามข้อมูล”ประวัติการจัดงานเดือนสิบ ของชาวนครศรีธรรมราช” โดยชาญกิจ ชอบทำกิจ ที่เผยแพร่ใน “สารนครศรีธรรมราช” ฉบับเดือนสิบ พ.ศ.2538 มีเนื้อหาที่เป็นเรื่องราวของประเพณีเดือนสิบ ชวนผู้อ่านย้อนกลับไป เมื่อปี พ.ศ.2465 หรือร้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงวันวิสาขบูชา โดยมีพลโทสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (เมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นกรมขุน) โปรดเกล้าฯ ให้พระยารัษฎานุประดิษฐ์ (สิน เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จัดการซ่อมแซมพระวิหารในวัดพระมหาธาตุฯ เช่น ทำช่อฟ้า ใบระกา เพดานที่พระวิหารหลวง และประดับประดาด้วยลวดลายไทย มีดาวดวงแฉกเป็นรัศมีที่วิหารพระทรงม้าและพระวิหารเขียน แต่งบประมาณในการก่อสร้างหมดลง พระยารัษฎานุประดิษฐ์ จึงคิดหาเงิน ด้วยการออกร้านจำหน่ายสินค้าและเล่นการพนันประเภทสองขึ้นในวัดพระมหาธาตุฯ ทางทิศใต้พระวิหารหลวง (ซึ่งขณะนั้นยังเป็นที่ว่างไม่มีพระภิกษุหรือแม่ชีเข้าอยู่อาศัย เรียกว่า สวนดอกไม้ ร่มรื่นด้วยต้นอโศก กระดังงา มะม่วง และมะขาม) และได้เริ่มจัดงานขึ้นในวันวิสาขบูชา โดยจัดงานอยู่สามวันสามคืน ได้เงินค่าประมูลร้านและการพนันนับหมื่นบาท เงินจำนวนนี้ นำไปใช้ในการก่อสร้าง และซ่อมแซมพระวิหารในวัดพระมหาธาตุฯ ได้เพียงพอ
ต่อมาใน พ.ศ.2466 ได้มีการจัดงานออกร้านขึ้นอีก โดยความร่วมมือของคณะกรรมการจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งมีพระยารัษฎานุประดิษฐ์ กับพระภัทรนาวิกธรรมจำรูญ (เอื้อน ภัทรนาวิก) ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง มูลเหตุในการจัดงานครั้งนี้ เนื่องจากพระภัทรนาวิกธรรมจำรูญ ซึ่งเป็นนายกศรีธรรมราชสโมสร (สโมสรข้าราชการ) เห็นว่าศรีธรรมราชสโมสรชำรุดเพราะสร้างมาหลายปีแล้ว สมควรจะจัดสร้างขึ้นใหม่ให้เป็นตึกถาวรสง่างาม แต่ขัดข้องด้วยไม่มีเงินในการก่อสร้าง ได้ปรึกษากับพระยารัษฎานุประดิษฐ์ จึงได้ตกลงจัดงานประจำปีขึ้น เพราะเห็นว่าการจัดงานในปีก่อนหน้ามีรายได้จากการจัดงานสูง การจัดงานในครั้งนี้ได้กำหนดเอางานทำบุญเดือนสิบมาเป็นงานประจำปีขึ้น โดยจัดที่สนามหน้าเมือง ด้วยเหตุนี้จึงถือกันว่างานเทศกาลเดือนสิบ ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2466 เป็นครั้งแรก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “งานเทศกาลเดือนสิบ เมืองคอน” ที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ.2466 และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว มีเพียงปี 2563-2564 ที่มีการงดจัดงานแบบยิ่งใหญ่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ความเชื่อบุญสารทเดือนสิบ
ประเพณีบุญสารทเดือนสิบ ของชาวนครศรีธรรมราช ข้อมูลจาก พัชรีย์ ทองศรีเกตุ สารนครศรีธรรมราชระบุไว้ว่าประเพณีสารทเดือนสิบของชาวเมืองนครศรีธรรมราชเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมท้องถิ่นกับศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา การประกอบพิธีกรรมนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งเปรตในเปรตภูมิ
ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ ชาวเมืองนครศรีธรรมราชเชื่อว่าในวันแรม 1 ค่ำ เดือนสิบ พญายมจะอนุญาตให้เปรตจากเปรตภูมิ (เมืองนรก) มาเยือนโลกมนุษย์ เพื่อมาเยี่ยมลูกหลานและขอรับส่วนบุญจากญาติพี่น้อง วันนี้เรียกว่า “วันรับตายาย” หรือ “วันรับเปรต” หลังจากนั้น ในวันแรม 15 ค่ำ เดือนสิบ บรรพชนและเปรตเหล่านี้จะเดินทางกลับสู่เมืองนรก ซึ่งเรียกกันว่า “วันส่งตายาย” หรือ “วันส่งเปรต”
สำหรับบุญสารทเดือนสิบ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1-15 ค่ำ เดือนสิบ จะมีการจัดแบ่งเป็นวันสำคัญหลายวัน ซึ่งแต่ละวันมีความหมายและพิธีกรรมที่แตกต่างกัน วันรับเปรต (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10) หรือ วันรับตายาย เป็นวันที่ครอบครัวจะเตรียมตัวต้อนรับบรรพบุรุษที่กลับมาเยือน ลูกหลานจะนำอาหารคาวหวานไปถวายพระที่วัด บางพื้นที่เรียกวันนี้ว่า “วันหมฺรับเล็ก” วันจ่าย (วันแรม 13 ค่ำ เดือน 10) เป็นวันที่ชาวบ้านจะรีบเร่งเตรียมของเครื่องใช้และวัตถุดิบต่างๆ เพื่อจัด “หมฺรับ” หรือสำรับอาหาร ตลาดในวันนี้จะคึกคักมาก เพราะทุกคนต้องไปซื้อของมาเตรียม
พออ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายท่านคงสงสัยกันว่า หมรับ คืออะไร “หมรับ” หมายถึง สำรับบรรจุเสปียงอาหาร ขนมเพื่อนำไปถวายแด่พระสงฆ์เนื่องในประเพณีทำบุญสารท เดือนสิบ คำนี้ตรงกับภาษากลางว่า “สำรับ” ซึ่งแปลว่า ภาชนะที่ใส่กับข้าวคาวหวาน (อันเป็นความหมายที่แคบกว่าคำ “หมรับ” ของภาษาปักษ์ใต้ “หมรบ” เป็นภาษาเขียน และ “หฺมฺรับ” เป็นภาษาอ่าน วันจัดหมฺรับ (วันแรม 14 ค่ำ เดือน 10) เป็นวันที่แต่ละครอบครัวจะมานั่งรวมกันจัดเรียงข้าวของเครื่องใช้ลงในภาชนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระบุง กระจาด ถาด หรือกะละมัง การจัดนี้มีลำดับและความหมายเฉพาะตัว สิ่งที่ขาดไม่ได้ในหมฺรับคือ “ขนม 5 อย่าง” ที่แต่ละชนิดมีความหมายเป็นสัญลักษณ์ ได้แก่ ขนมพอง แทนแพสำหรับผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพ ขนมลา แทนเครื่องนุ่งห่ม ขนมกง (หรือขนมไข่ปลา) แทนเครื่องประดับ ขนมดีซำ แทนเงินตรา และขนมบ้า แทนลูกสะบ้าสำหรับผู้ล่วงลับใช้เล่น บางพื้นที่อาจเพิ่ม “ขนมลาลอยมัน” แทนฟูกหมอน ซึ่งขนมเหล่านี้นอกจากจะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์แล้ว ยังมีข้อดีคือเก็บได้นาน เหมาะสำหรับเป็นเสบียงพระภิกษุสงฆ์ตลอดฤดูฝน และวันส่งเปรต (วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10) เป็นวันใหญ่ที่สุด หรือที่เรียกว่า “วันหมฺรับใหญ่” หรือ “วันสารท” ลูกหลานจากทั่วสารทิศจะกลับภูมิลำเนาเพื่อมารวมทำบุญ ในวันนี้ หมฺรับพร้อมภัตตาหารจะถูกนำไปถวายพระที่วัด มักจะมีการจัดขบวนแห่จาดอย่างยิ่งใหญ่และตระการตา โดยเฉพาะที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ได้มีการพัฒนาให้เป็นงานท่องเที่ยวด้วย หลังจากพิธีสงฆ์เสร็จแล้ว ขนมและอาหารส่วนหนึ่งจะถูกนำไปวางไว้บริเวณวัด โคนต้นไม้ หรือบน “หลาเปรต” (ร้านเปรต) เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับทั้งที่มีญาติและไม่มีญาติ จากนั้นก็จะถึงช่วงที่ใครหลายคนรอคอย นั่นคือการ “ชิงเปรต” ผู้คนจะร่วมกันชิงขนมและอาหารที่วางไว้อย่างสนุกสนาน เชื่อกันว่าการได้กินของที่ใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษจะเป็นสิริมงคลและได้บุญเป็นกุศล เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

ประเพณีชิงเปรต
นอกจากชื่อวันสารทเดือนสิบ เรามักจะได้ยินคำว่า ประเพณีชิงเปรต ที่คุ้นหูหรือเจอในหนังสือตามบทเรียนต่างๆ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ “การชิงเปรต” เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของประเพณีเดือนสิบหรือประเพณีสารท ซึ่งดำเนินควบคู่กันมาตั้งแต่ต้น การชิงเปรตจะเกิดขึ้นเมื่อมีการนำอาหารคาวหวาน ผลไม้ และในบางครอบครัวจะเอาเงินใส่ไปด้วย นำไปวางไว้ที่จุดที่กำหนดในวัด เมื่อไปวางไว้และอธิษฐานต่อเปรตบรรพชนเรียบร้อยแล้ว จะมีผู้ให้สัญญาณเพื่อเริ่มการชิงเปรต
ความเชื่อเรื่องสิริมงคลการมีส่วนร่วมในประเพณีนี้เกิดจากความเชื่อว่าอาหารที่บรรพชนซึ่งเป็นเปรตได้รับกลิ่นอายแล้วจะเป็นอาหารสิริมงคล เพราะบรรพชนได้กินกลิ่นอายแล้วจะอวยพรให้แก่ลูกหลานที่เอาอาหารไปตั้งที่ตั้งเปรต คำพรนั้นย่อมตกถึงผู้ชิงด้วย ยิ่งมีคนไปตั้งเปรตและชิงด้วย จะได้คำพรมากขึ้นไปอีก ถ้าได้รับประทานอาหารที่ชิงได้ด้วย ก็ยิ่งได้พรยิ่งขึ้นไปอีก หากมีคนแย้งว่ารู้ได้อย่างไรว่าได้พร คำตอบก็คือรู้ได้จากการบอกต่อๆ กันมา และเมื่อได้ทำอย่างนี้แล้วก็จะมีความสุขใจ
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างความสนุกสนาน การชิงสร้างความสนุกสนานให้กับทั้งผู้ชิงเองและผู้ที่ไปยืนมุงดูอยู่ ดังนั้นการชิงเปรตจึงเป็นสิ่งที่ดี ควรปฏิบัติต่อไป สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือรู้สึกไม่ดี ควรศึกษากันให้ดีก่อนว่าสิ่งที่บรรพชนคิดไว้นี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า ควรแก่การฟื้นฟูอนุรักษ์หรือไม่ การนำอาหารไปตั้งเปรตและมีการชิงเปรตจึงเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์และสั่งสอนให้ชาวนครศรีธรรมราชได้รับสิ่งดีๆ และเกิดบรรยากาศดีๆ ในพื้นที่
งานสารทเดือนสิบ
เทศกาลปลอดเหล้า
อีกหนึ่งความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในงานประเพณี โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในอดีต งานประเพณีมักจะมีการขายและดื่มเหล้าเบียร์ จนทำให้เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทและการเกิดอุบัติเหตุ ความร่วมมือระหว่างจังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับเครือข่ายงดเหล้า และภาคี ได้ร่วมกันสนับสนุนรณรงค์ให้เกิด “งานสารทเดือนสิบปลอดเหล้า” ซึ่งประสบความสำเร็จในการลดปัญหาต่างๆ และกลายเป็นต้นแบบของการจัดงานประเพณีที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับครอบครัว ความพร้อมใจของทุกภาคส่วนที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตที่ดี โดยขยายผลโมเดลการจัดงานวันสารทเดือนสิบและงานกาชาด บริเวณทุ่งทาลาด ที่พบว่า เมื่อการจัดงานมีความปลอดภัยทำให้มีการท่องเที่ยวที่มากขึ้นกว่าแสนคนตลอด 15 วัน ครอบครัวรู้สึกปลอดภัยที่จะให้ลูกหลานมาเที่ยวงาน ลดภาระงานเจ้าหน้าที่ และสำหรับปี 2568 งานสารทเดือนสิบจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-26 กันยายน 2568 มีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การเสวนาผลดีของงานที่ปลอดภัยและส่งเสริมเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ให้กับเด็กเยาวชน กิจกรรมการประชันหนังตะลุง กิจกรรมการประกวดหนังตะลุง รุ่นเยาวชน กิจกรรมลานวัฒนธรรมสร้างสรรค์ สืบทอดภูมิปัญญาการทำขนมเดือนสิบ พิธีเปิดการประกวดหมฺรบและขบวนแห่หมฺรบ ชิงหมฺรบทองคำพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กิจกรรมประกวดกลอนสด การประกวดยุวโนราห์ หนังตะลุงทอล์กโชว์ หนังตะลุงเยาวชน การจัดนิทรรศการหุ่นเปรต
เมื่อสายลมเดือนสิบพัดผ่านตามกาลเวลา
แก่นแท้ของประเพณีบุญสารทเดือนสิบหรืองานบุญเดือนสิบ เป็นเทศกาลบุญที่สนุกรื่นเริงและเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่อลังการ ประกอบด้วยร้านค้า การแสดง การประกวดและกิจกรรมต่างๆ งานบุญสารทเดือนสิบมีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าที่มีต่อสังคมชาวเมืองนครศรีธรรมราชประการแรก คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระบรมธาตุเจดีย์กับประเพณีบุญสารทเดือนสิบที่ได้เริ่มขึ้นที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองพระบรมธาตุเจดีย์ ประการที่สอง คือ ความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับการทำบุญสารทเดือนสิบ เพื่ออุทิศส่วนบุญไปให้ดวงวิญญาณของบรรพชนผู้ล่วงลับไปแล้วในเปรตวิสัย และเพื่อแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที
เมื่อเวลาผ่านไป สังคมไทยก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้า การคมนาคมสะดวกขึ้น ผู้คนเข้าถึงข่าวสารจากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น และชีวิตความเป็นอยู่ก็เร่งรีบมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลต่อประเพณีเดือนสิบด้วยเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือวัตถุประสงค์ของการจัดงาน จากเดิมที่งานเทศกาลบุญเดือนสิบมีจุดประสงค์หลักเพื่อระดมทุนสร้างสาธารณะประโยชน์ แต่ปัจจุบันงานเฉลิมฉลองและความบันเทิงกลับโดดเด่นขึ้นมา ส่วนการระดมทุนเพื่อสาธารณะกุศลตามแบบดั้งเดิมกลับลดบทบาทลง อีกสิ่งหนึ่งคือ บทบาทของภาครัฐ แม้ว่าหน่วยงานรัฐจะมีความพยายามในการส่งเสริมประเพณี แต่บางครั้งการเข้าไปแทรกแซงหรือปรับเปลี่ยนรายละเอียดของพิธีกรรม ทำให้เสียงของผู้คนในพื้นที่สะท้อนถึงการรู้สึกสับสนและคิดว่าภาครัฐยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของประเพณีดีพอ
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบครอบครัวก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง เมื่อก่อนครอบครัวไทยจะอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขยาย ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน อยู่ในบ้านเดียวกันหรือใกล้กัน แต่ปัจจุบันครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น คนหนุ่มสาวออกไปทำงานต่างจังหวัด การรวมญาติในช่วงเทศกาลจึงยากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามมากมายในการปรับตัวและหาทางออก การใช้เทคโนโลยีในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประเพณี การจัดทำสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ เช่น การแต่งเพลงเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ยูทูปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการไปเที่ยวงานวันสารทเดือนสิบ หรือการหลบบ้าน(กลับบ้าน)ของวัยหนุ่มสาว รวมถึงการสร้างกิจกรรมที่ดึงดูดเยาวชน และการพัฒนาประเพณีให้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
แต่สำหรับคนเมืองคอน หัวใจสำคัญที่สุดของประเพณีนี้ การระลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ การแสดงความเคารพและความรักต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่สำคัญในสังคมไทย ไม่ว่าเราจะก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแค่ไหน ความกตัญญูก็ยังเป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังในใจคนรุ่นใหม่ การสร้างความสามัคคีในครอบครัว ประเพณีเดือนสิบเป็นโอกาสที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของคนไทยที่จะได้พบปะพูดคุยกับญาติพี่น้อง การ “หลบบ้าน” ไม่ใช่แค่การเดินทางทางกาย แต่เป็นการเดินทางกลับสู่ความรักความอบอุ่นของครอบครัวในช่วงเวลาที่สำคัญตามความเชื่อประเพณีเดือนสิบ ของคนเมืองคอน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ชาญกิจ ชอบทำกิจ. (2538). ประวัติการจัดงาน “เดือนสิบ” จังหวัดนครศรีธรรมราช. สารนครศรีธรรมราช, ฉบับเดือนสิบ.
- คณะกรรมการดำเนินการจัดงานเดือนสิบ. (2504). หนังสือที่ระลึกงานเดือนสิบ 2504. คณะกรรมการดำเนินการจัดงานเดือนสิบ.
- เทศบาลเมืองทุ่งสง. (ม.ป.ป.). สารทเดือนสิบเมืองนครศรีธรรมราช. เทศบาลเมืองทุ่งสง.
- พัชรีย์ ทองศรีเกตุ. (2565). สารนครศรีธรรมราช ฉบับพิเศษที่ระลึกงานเดือนสิบ ปี 2565. สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช.
- ภูวนารถ สังข์เงิน. (ม.ป.ป.). สารทเดือนสิบ (ตอนที่ 1). สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.
- พอพล อุบลพันธุ์ (บ.ก.). (2565). สารนครศรีธรรมราช 2565 (สารทเดือนสิบ). สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช.
- สารทเดือนสิบนครศรีธรรมราช: หลบบ้านสู่รากเหง้า. (ม.ป.ป.). สารนครศรีธรรมราช.
- Komol. (2012, ตุลาคม 1). ย้อนรอยอดีตภาพ “งานบุญประเพณีสารทเดือนสิบ เมืองคอน”. เมืองคอน.com.
- The Active. (2023, ตุลาคม 14). แก่นแท้ ‘สารทเดือนสิบ’ งานบุญคนใต้ ที่ไม่ได้มีแค่ ‘ชิงเปรต’. ThaiPBS. สืบค้นจาก https://www.thaipbs.or.th/news/content/332334