พญาคันคาก ยกรบพญาแถน จึงเกิดเป็นตำนานบั้งไฟ ฮีตเดือนหก
CultureKnowledge

พญาคันคาก ยกรบพญาแถน จึงเกิดเป็นตำนานบั้งไฟ ฮีตเดือนหก

ศุภกิตติ์ คุณา
23 พฤษภาคม 2568

ในฮีตเดือนหกของภาคอีสาน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลแห่งการเกษตรกรรม ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความผูกพันกับเกษตรกรรม โดยเฉพาะเรื่องของฟ้าฝนที่เป็นปัจจัยหลักของการทำการเกษตร การปลูกพืช ปลูกข้าวทำนา ที่เป็นอาชีพหลักของคนในถิ่นแต่เดิม เป็นส่วนหนึ่งใน “ฮีตสิบสอง” หรือประเพณีสิบสองเดือนของคนอีสาน ที่มีความเชื่อและการดำรงชีวิตทางเกษตรกรรมของชาวอีสานที่ปฏิบัติและสืบสานต่อกันมาอย่างยาวนาน

งานประเพณีบุญบั้งไฟ ในภาคอีสานนั้น แต่ละปีจะจัดกันอย่างยิ่งใหญ่ ชาวอีสานเชื่อว่าเป็นการขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข ในงานจะมีการเซิ้ง แห่บั้งไฟและจุดบั้งไฟ เพราะเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปบอกพญาแถนให้ส่งน้ำฝนลงมา โดย “พญาแถน” เป็นถือเป็นตำนานพื้นบ้าน ที่เป็นเรื่องสงครามระหว่างพญาคันคากกับพญาแถน จึงเป็นที่มาของการยิงบั้งไฟเดือนหก

พญาคันคาก ยกรบพญาแถน
จึงเกิดเป็นตำนานบั้งไฟ

เรื่องราวของพญาคันคาก เรื่องราวตำนานการขอฝนของชาวอีสาน ถือเป็นหนึ่งในเรื่องเล่านิทานพื้นบ้านที่มีการเชื่อมโยงจากต้นกำเนิดความเชื่อและประเพณีที่สัมพันธ์กับการทำเกษตรกรรมและการขอฝนของชาวบ้านในภาคอีสานของไทย โดยมีเรื่องเล่าต่อกันมาที่เป็นสงครามระหว่างเมืองลุ่ม-เมืองฟ้าของพญาคันคากกับพญาแถน

เรื่องราวของ พญาคันคาก ในตำนาน เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมืองชมพู ซึ่งมีภูมิศาสตร์เป็นเมืองลุ่ม โดยมีพญาเอกราชเป็นผู้ครองเมือง และนางสีดาเป็นมเหสี ผู้ให้กำเนิดกุมารที่ผิวหนังและรูปร่างเหมือนคันคาก (คางคก) ทำให้ทุกคนตกใจ แม้จะดูอัปลักษณ์ แต่พญาคันคากกลับมีบุญญาธิการและเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมือง มีพระอินทร์คอยช่วยเหลือจนเป็นที่เลื่องลือ ในบางตำนานเล่าว่า เมื่อเติบโตขึ้น พญาคันคากได้ขอพรจากพระอินทร์จนได้ถอดรูปคางคกออกมาเป็นชายหนุ่มรูปงาม และได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา

เมื่อพญาคันคากได้ขึ้นครองเมืองและมีเดชานุภาพเป็นที่เลื่องลือ ผู้คนหันมาเคารพและส่งส่วยให้พญาคันคากแทนที่จะบูชาพญาแถน เทพเจ้าแห่งฝนที่อยู่เมืองฟ้า พญาแถนจึงโกรธเคืองและสั่งให้พญานาค จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง 7 เดือน งดให้น้ำในฤดูทำนา ทำให้เกิดความแห้งแล้งและข้าวยากหมากแพงขึ้น ชาวบ้านจึงพากันไปขอให้พญาคันคากช่วยเหลือ

พญาคันคากจึงรวบรวมกองทัพสัตว์มีพิษ เช่น มด ผึ้ง แตน ตะขาบ กบ เขียด รวมถึงสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย เพื่อยกทัพขึ้นไปรบกับพญาแถนบนเมืองฟ้า โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น ส่งมดปลวกไปกัดกินศัตราวุธของพญาแถน ทำให้พญาแถนไม่มีอาวุธใช้ในยามรบ ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อยจนไพร่พลเจ็บปวด และถูกเสียงสัตว์ต่าง ๆ ขัดขวางการร่ายมนต์

เมื่อพญาแถนเห็นว่าจะเอาชนะพญาคันคากไม่ได้  จึงสำนึกผิด ขอเป็นเมืองขึ้นและสัญญาจะส่งฝนทุกปี พญาคันคากผู้มีเมตตาให้อภัยและสอนให้พญาแถนประพฤติธรรม อธิบายว่าโลกนี้ทุกสิ่งต้องพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อพญาแถนถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่า เมืองมนุษย์ต้องการน้ำ พญาคันคากตอบว่าจะส่งสัญญาณโดยจุดบั้งไฟหัวนาคขึ้นฟ้า (ฮีตเดือนหก) เมื่อพญาแถนเห็นแล้วจะเปิดประตูให้พญานาคขึ้นเล่นน้ำ ทำให้เกิดฝนตกลงมาในโลกมนุษย์ และเมื่อได้น้ำเพียงพอ จะเล่นทนูหรือเสียงโหวดแกว่งขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณให้ปิดประตู (ฮีตเดือนสิบสอง) ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว

ตั้งแต่นั้นมา ชาวอีสานจึงมีประเพณีบุญบั้งไฟ เพื่อบูชาพญาแถนขอฝนในฤดูทำนา เป็นการแสดงความกตัญญูและความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติจนกลายมาเป็นประเพณีในภาคอีสาน

พญาคันคาก

พญาคันคาก คำว่า “คันคาก” เป็นคำลาวภาคอีสานและสองฝั่งโขง ตรงกับคำไทยลุ่มน้าเจ้าพระยาภาคกลางว่า “คางคก” เรื่องราวของพญาคันคากมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสมดุลของธรรมชาติในตำนานอีสาน ผู้นำที่รวบรวมความร่วมมือจากทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ในเมืองลุ่ม เพื่อต่อสู้กับอำนาจของพญาแถนแห่งเมืองฟ้า ซึ่งเป็นผู้กุมการปิด-เปิดให้น้ำฝนให้แก่โลกมนุษย์ ดังที่ได้เขียนเรื่องราวไว้ข้างต้น

ตำนานพญาคันคาก เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่เป็นเรื่องที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในภาคอีสาน และมีบันทึกในเอกสารใบลานในหลายจังหวัด มีชื่อรู้จักกันโดยทั่วไปว่า ตำนานพญาคันคาก แต่บางถิ่นก็อาจเรียกชื่อว่า ตำนานพญาคางคาก ธัมม์พญาคางคาก หรือพญาคันคากชาดก ในท้องถิ่นล้านนามีชื่อว่า คันธฆาฎกะ และสุวัณณจักกวัตติราช เป็นต้น

ตำนานพญาคันคากนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของพระโพธิสัตว์คันคาก สะท้อนให้เห็นพลังศรัทธาความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่ผสมผสานกับคติความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผีแถน ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนา กับพิธีกรรมความเชื่อเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ในวิถีชีวิตของชาวนาในวัฒนธรรมข้าว ที่ต้องอาศัยนํ้าฟ้านํ้าฝนในการผลิตธัญญาหาร

พญาคันคาก ยังถูกเป็นสัญลักษณ์แห่งการท่องเที่ยวในภาคอีสานหลายที่ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำทวน จังหวัดยโสธร ถูกสร้างอาคารเป็นรูปพญาคางคาก ความสูงกว่า 19 เมตร หรือเทียบเท่าประมาณตึก 5 ชั้น และรูปปั้นพญานาคขนาดใหญ่ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และเป็นตำนานความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟของจังหวัดยโสธรที่รู้จักระดับประเทศ ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์พญาคันคาก จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับคางคกกว่า 500 สายพันธุ์ทั่วโลก รวมไปถึงกบ อึ่ง กบ เขียด ในประเทศ และมีการจัดฉายตำนานของประเพณีบุญบั้งไฟในรูปแบบภาพยนตร์ 4 มิติ

พญาแถน

พญาแถน ถือเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้าหรือสวรรค์ในความเชื่อของชาวไท-ลาวและชาวอีสาน ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า “เทียน” ในภาษาจีนที่แปลว่า “ฟ้า” หรือ “สวรรค์” สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจสูงสุดเหนือธรรมชาติทั้งปวง โดยเฉพาะการควบคุมฝนฟ้าอากาศและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน ในวัฒนธรรมดั้งเดิมก่อนการเข้ามาของศาสนาพุทธและพราหมณ์-ฮินดู ชาวอีสานนับถือ “ศาสนาผี” ซึ่งแบ่งเป็นผีดิน (ผีบรรพบุรุษ) และผีฟ้า (ผีแถน) โดยพญาแถนมีทั้ง “แถนหลวง” ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง และ “แถนบริวาร” ที่มีหน้าที่เฉพาะด้าน เช่น แถนหล่อ (สร้างมนุษย์), แถนแต่ง (ประสาทวิชา), แถนลม (สื่อกลาง), แถนแนน (ดูแลคู่ครอง) ฯลฯ ตำนานที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพญาคันคาก (คางคกศักดิ์สิทธิ์) ที่ยกทัพสัตว์ต่างๆ ขึ้นไปต่อสู้กับพญาแถนบนสวรรค์เพื่อให้บันดาลฝนจนสำเร็จ ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในวิถีชีวิตของชาวอีสาน พญาแถนมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมขอฝนเช่น “บุญบั้งไฟ” ที่จัดขึ้นในเดือนหก (พฤษภาคม) โดยเชื่อว่าการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้าเป็นการสื่อสารกับพญาแถนเพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล และยังมีพิธีกรรมเลี้ยงผีปู่ตาเพื่อบูชาแถนในช่วงฤดูเพาะปลูก ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ นอกจากนี้ พญาแถนยังปรากฏในวรรณกรรมพื้นบ้าน กลอนลำ และหมอลำ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน แม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ความเชื่อเรื่องพญาแถนยังคงเป็นรากฐานสำคัญของวิถีชีวิตและจิตใจชาวอีสาน โดยเฉพาะในสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาฝนฟ้าอากาศเพื่อความอยู่รอดและความอุดมสมบูรณ์ของท้องถิ่น ปัจจุบันสามารถรับชมประติมากรรมพญาแถนได้ที่วิมานพญาแถน จังหวัดยโสธร

ในขณะเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ในภาคเหนือก็มีประเพณีสรงน้ำในเดือนแปดเป็ง (ตรงกับช่วงเดือนหกของภาคอีสาน) มีการจุดบอกไฟหมื่น บอกไฟแสน บอกไฟลูกหนู รวมถึงมีการจัดการแข่งขันบอกไฟ ซึ่งบอกไฟที่แข่งนั้นมีลักษณะคล้ายบั้งไฟทางภาคอีสาน แต่อาจจะมีขนาดเล็กกว่า ถึงแม้ว่าบทบาทหน้าที่ของพญาแถนตามความเชื่อของชาวอีสานจะลดลงจากเทพเจ้าผู้สร้างมาเป็นเทพผู้สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับโลกมนุษย์ โดยการจุดบอกไฟบูชามีความเชื่อว่า เมื่อจุดแล้วจะมีฝนตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาไม่ขาดน้ำ จนเกิดการตายแดด พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เชื่อมโยงของพญาในภาคเหนือก็ยังไม่มีตำนานเรื่องเล่าเหมือนภาคอีสานที่เป็นหลักฐานชัดเจน แต่จะมีความเกี่ยวโยงที่คล้ายกันคือ เรื่องการจัดการน้ำในการเกษตรตามความเชื่อ


ข้อมูลอ้างอิง

  • The Isan Record. (2567, 13 พฤษภาคม). พญาคันคาก: การต่อสู้ของผู้มีอำนาจแห่งเมืองฟ้า-เมืองลุ่ม. สืบค้นจาก https://theisaanrecord.co/2024/05/13/the-war-between-deity-and-the-toad-king
  • The Isaan Record. วัฒนธรรมผสมความเชื่อเรื่องแถน. สืบค้นจาก https://theisaanrecord.co/2024/05/16/the-culture-is-mixed-with-beliefs-about-thaen
  • คมกฤษณ์ วรเดชนัยนา และพรพิมล เพ็งประภา. (2564). พืช: อนุภาคในวรรณกรรมนิทานอีสานกับการศึกษาความหมายเชิงวัฒนธรรม. วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร, 41(6), 41-52.
  • ไชยขันธุ์, สุเทพ. (2557). นิทานพญาแถน แก่นตำนานอาเซียน. กรุงเทพฯ: ตถาตา พับลิเคชั่น.
  • ณรงค์ ภูเยี่ยมจิตร และเกียรติศักดิ์ ลาภสาร. (2563). รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในประเพณีบุญบั้งไฟ. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 7(7), 25-38.
  • ฐานข้อมูลนิทานตำนานเรื่องเล่าพื้นบ้าน. สำนักศิลปะและวัฒนธรรม. สืบค้นจาก https://folktales.sac.or.th/
  • นิติกร วิชชุมา. การวิเคราะห์พญาแถนตามแนวคิดเรื่องเทพในทัศนะพุทธปรัชญาเถรวาท. สืบค้นจาก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/HUSO/article/view/6102/5319
  • พระอริยานุวัตร (อารีย์ เขมจารี ป.5). (2513). พญาคันคาก (จักรพรรดิคันคากน้อยเล็กพญาแถนหลวง). มหาสารคาม: ศูนย์อนุรักษ์วรรณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วัดมหาชัย.
  • มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ตำนานพญาคันคาก. สืบค้นจาก https://www.ubu.ac.th/web/rocket/content/ตำนานพญาคันคาก
  • ประภาพร ธนกิตติเกษม. (2562). เรื่องเล่าสะท้อนกรรม. วารสาร มจร มนุษยศาสตร์ปริทรรศน์, 5(2), 217-235.
  • วงษ์เทศน์, สุจิตต์. (2562). พญาคันคาก นิทานชาวบ้านลาว-ไทย เรื่องคางคกยกรบขอฝน. มติชนสุดสาปดาห์. สืบค้นจาก https://www.matichonweekly.com/scoop/article_9785
  • ศูนย์สารนิเทศอีสานสิรินธร. (2566). ฮีตเดือนหก เอาบุญบั้งไฟ. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สืบค้นจาก https://isancenter.msu.ac.th/?p=932
  • สมปอง มูลมณี และปฐม หงส์สุวรรณ. (2561). ตำนานประจำถิ่นทุ่งกุลาร้องไห้: เรื่องเล่าเชิงนิเวศกับการต่อสู้และต่อรองทางสังคมและวัฒนธรรม. มรยสาร, 16(2), 69-92.
  • อธิปัตย์ วงษ์ยิ้ม. (2558). ระบบจักรวาลทัศน์ดั้งเดิมกับการประกอบสร้างพื้นที่เชิงนิเวศแบบคู่ตรงข้ามในวรรณกรรมอีสานแนวมหัศจรรย์ ตามความหมายของ เมืองฟ้า – เมืองลุ่ม. วารสารวิถีสังคมมนุษย์, 3(1), 102-123.
123 ครั้ง